แก้ว
- หมวด: สมุนไพรไทย
- 05 กันยายน 2560
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 2114
แก้ว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Murraya paniculata (L.) Jack
ชื่อวงศ์ : RUTACEAE
ชื่อสามัญ : Andaman satin wood, Chinese box tree, Orange jasmine.
ชื่ออื่น : กะมูนิง (มลายู-ปัตตานี) แก้วขาว (ภาคกลาง) แก้วขี้ไก่ (ยะลา) แก้วพริก ตะไหลแก้ว (ภาคเหนือ)
แก้วลาย (สระบุรี) จ๊าพริก (ลำปาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 เมตร ไม่ผลัดใบ ใบ เป็นใบประกอบ ผิวใบมันเข้ม และเป็นมันทั้งสองด้าน ดอก ช่อ ออกเป็นกระจุก สีขาว ร่วงง่าย มีกลิ่นหอมมาก ผล สดกลมรี หรือรูปไข่ ปลายสอบเล็กน้อย ที่เปลือกมีต่อมน้ำมันเห็นได้ชัด กว้าง 5-8 มม. ยาว 0.8-1 ซม. ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีส้มแดง เมล็ดรูปไข่ปลายสอบ มีขนสั้นๆ อยู่รอบเมล็ด กว้าง 4-6 มม. ยาว 6-9 มม. สีขาวขุ่น มีจำนวน 1-2 เมล็ดต่อผล
ส่วนที่ใช้ : ราก ใบ
สรรพคุณ : เป็นยาขับประจำเดือน
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ใช้รากแห้ง 10-15 กรัม (สด 30-60 กรัม) ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานวันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น
การเตรียมสมุนไพรอย่างง่ายและวิธีใช้
ใช้แก้วรักษาอาการปวดฟัน โดยนำใบสดตำพอแหลก แช่เหล้าโรงในอัตราส่วน 15 ใบย่อย หรือ 1 กรัมต่อเหล้าโรง 1 ช้อนชา หรือ 5 มิลลิลิตร และนำเอายาที่ได้มาทาบริเวณที่ปวด
สารสำคัญ
ใบประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารกลุ่มแอลคาลอยด์(Indole)น้ำมันหอมระเหยประกอบด้วยสาร
ประเภท Sesquiterpenes จากการศึกษาวิจัยพบว่า ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ Micrococcus Pyogenes
var. aureus และ E. coli
ด้านพิษวิทยา Nakanishi K, และคณะ(1965) ได้ทำการทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดด้วย
แอลกอฮอล์ จากเปลือกต้นหรือทั้งตั้น พบว่า เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูหดลอง ขนาด 1 ก./กก. ทำ
ให้หนูตายครึ่งหนึ่ง
แหล่งอ้างอิง : นพ.ปัจจุบัน เหมหงษาและคณะ. (2542). สมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน(ฉบับปรับปรุง)
โรงพิมพ์องค์กรทหารผ่าศึก